วิธีเพิ่มน้ำยาง

ปัญหายางตายนึ่ง มีทางแก้!!
| |

ปัญหายางตายนึ่ง มีทางแก้!!

ปัญหายางตายนึ่ง มีทางแก้!!

           เกษตรกรชาวสวนยางพารา เชื่อว่าทุกท่านต้องเคยเจอปัญหาอย่างหนึ่งคือ “ปัญหายางตายนึ่ง” ลักษณะอาการหน้ายางตายนึ่งที่เด่นชัดคือ เมื่อกรีดไปแล้ว ไม่มีน้ำยางออก ให้สังเกตบริเวณหน้ายางที่เรากรีดไป จะเห็นว่ามีน้ำยางออกน้อยมาก อาการตายนึ่งแบบถาวรจะมีอาการรุนแรงกว่าตายนึ่งชั่วคราว วิธีสังเกตคือ เปลือกจะมีการกะเทาะร่อนออกมา น้ำยางไม่ออก

           โดย บริษัท เอ็มดี ครอป จำกัด ได้คิดค้นวิจัย และเดินหน้าพัฒนา เพื่อ “เพิ่มศักยภาพพืช” พร้อมทั้งแก้ปัญหาดังนี้

-แก้ปัญหายางหน้าตาย (ยางตายนึ่ง)

-ปัญหายางเปลือกแห้ง

-การเพิ่มผลผลิตของน้ำยาง

-การเพิ่มค่า DRC น้ำยางให้สูง

นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทางกลุ่มงานวิจัย บริษัท เอ็มดี ครอป จำกัด ให้ความสำคัญกับปัญหายางหน้าตาย (ตายนึ่ง) อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาความพร้อมตลอด และติดตามความก้าวหน้าผลการจัดเก็บข้อมูล การรับทราบข้อมูลการแก้ไขปัญหายางพารา ให้กับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยาง



โรคเปลือกแห้ง ปัญหาใหญ่ต้องรีบแก้!!
| |

โรคเปลือกแห้ง ปัญหาใหญ่ต้องรีบแก้!!

โรคเปลือกแห้ง ปัญหาใหญ่ต้องรีบแก้!!

• สาเหตุ

        – สวนยางขาดการบำรุงรักษา

        – การใส่ปุ๋ยไม่ตรงกับเวลาที่กำหนด และใช้ปุ๋ยไม่เหมาะสมกับสภาพของดิน

        – กรีดเอาน้ำยางออกมากเกินไป กรีดถี่เกินไป และใช้ระบบกรีดไม่ถูกต้อง

        – เกิดการผิดปกติภายในท่อน้ำยาง

• ลักษณะอาการของโรค

ก่อนเกิดโรค ต้นยางที่จะเป็นโรคเปลือกแห้ง มักจะแสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างประกอบกันให้สังเกตเห็นได้ ดังนี้

    1. น้ำยางบนรอยกรีดจะจับตัวกันเร็วกว่าปกติ
    2. น้ำยางที่กรีดได้จะมีปริมาณมากกว่าปกติ การหยดของน้ำยางนานกว่าปกติ
    3. น้ำยางที่กรีดได้จะใส และมีปริมาณเนื้อยางแห้งต่ำ
    4. เปลือกของต้นยางเหนือรอยกรีดจะมีสีซีดลง

ขณะเป็นโรค ต้นยางเปลือกจะแห้ง กรีดแล้วไม่มีน้ำยางไหล เปลือกต้นยางตามลำต้นจะแตก พุพอง แต่ต้นยางไม่ตาย ถ้าปล่อยปะไม่ควบคุม จะแพร่กระจายลุกลาม ทำให้หน้ากรีดของยางต้นนั้นเสียหายทั้งหมด (ไม่แพร่ระบาดไปสู่ต้นอื่น) การ ลุกลามของโรคมีหลายลักษณะดังนี้

    1. โรคนี้ส่วนใหญ่จะลุกลามไปทางด้านซ้ายมือเสมอ
    2. เกิดโรคนี้แล้วไม่มีการดูแลรักษา โรคจะลุกลามไปยังหน้ากรีดที่อยู่ติดกัน
    3. การลุกลามของโรคบนหน้ากรีด ถ้ากรีดจากบนลงล่างโรคก็จะลุกลามจากบนลงล่าง ถ้ากรีดจากล่างขึ้นบนโรคก็จะลุกลามจากล่างขึ้นบน
    4. อาการเปลือกแห้งจะไม่ลุกลามจากเปลือกที่ยังไม่ทำการกรีดไปยังเปลือกงอกใหม่ และไม่ลุกลามจากเปลือกงอกใหม่ด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง
    5. ถ้าเป็นโรคเปลือกแห้งชนิดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายใน 2 – 3 เดือน หน้ากรีดของต้นยางจะเป็นโรคเปลือกแห้งทั้งหมด

• การป้องกันกำจัด

    1. เอาใจใส่บำรุงรักษาสวนยางให้สมบูรณ์แข็งแรงตั้งแต่เริ่มปลูก
    2. ใส่ปุ๋ยที่เหมาะสมตามจำนวนและระยะเวลาที่ทางวิชาการแนะนำ
    3. ใช้ระบบกรีดให้ถูกต้องและเหมาะสมกับพันธุ์ยาง
    4. อย่ากรีดยางเมื่อยางยังไม่ได้ขนาดเปิดกรีด
    5. หยุดกรีดยางในขณะยางผลัดใบ

• ยางที่จะเปิดกรีดใหม่

– สำหรับยางที่เริ่มเปิดกรีดใหม่ ก่อนเปิดกรีด 3 เดือน ควรทำร่องแยกหน้ากรีดออกจากกัน ในการทำร่องให้ใช้สิ่วเซาะเป็นร่องลึกจนถึงเนื้อไม้ โดยทำร่องเดียวตรงตลอดจากจุดที่จะเปิดกรีดด้านบนจนถึงส่วนโคนของต้นยาง

– ทำร่องบริเวณโคนต้นยางให้ร่องนี้ขวางกับลำต้น โดยให้ร่องจดกับร่องที่ทำแบ่งแยกหน้ากรีด เพื่อป้องกันมิให้โรคลุกลามลงสู่ราก

– เปิดกรีดเมื่อต้นยางได้ขนาดและกรีดตามระบบที่เหมาะสมกับพันธุ์ยาง

• ยางที่เปิดกรีดแล้วและเป็นโรคเปลือกแห้งเพียงบางส่วน

– หากต้นยางแสดงอาการเปลือกแห้งเพียงบางส่วน ถ้าไม่ควบคุมโรคจะลุกลามออกไป ทำให้หน้ากรีดเสียหายทั้งหมด

– ควบคุมโดยทำร่องแยกส่วนที่เป็นโรคออกจากกัน วิธีทำร่องใช้สิ่วเซาะร่องให้ลึกถึงเนื้อไม้รอบบริเวณที่เป็นโรค ห่างจากบริเวณที่เป็นโรคประมาณ 2 ซม.

– หลังจากทำร่องเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถเปิดกรีดต่อไปได้ตามปกติ แต่ต้องเปิดกรีดต่ำกว่าบริเวณที่เป็นโรค

ปัญหา!!โรคใบที่เกิดจาก เชื้อคอลเลตโตตริกัม
| |

ปัญหา!!โรคใบที่เกิดจาก เชื้อคอลเลตโตตริกัม

เชื้อสาเหตุ เชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides (Gloeosporium alborubrum) และ Colletotrichum heveae

ลักษณะอาการของโรค

        ถ้าเกิดจากเชื้อ C.gloeosporioides เชื้อนี้เข้าทำลายใบยางขณะมีอายุ 5 – 15 วัน หลังจากเริ่มผลิต คือ ระยะที่ใบขยายและกำลังเปลี่ยนจากสีทองแดงเป็นเขียวอ่อน เมื่อเชื้อราเข้าทำลายอย่างรุนแรง ใบจะเหี่ยวและหลุดร่วงทันที แต่ถ้าหากเชื้อราเข้าทำลายเมื่อใบโตเต็มที่แล้ว ใบจะแสดงอาการเป็นจุด ปลายใบหงิกงอ แผ่นใบเป็นจุดสีน้ำตาล มีขอบแผลสีเหลือง เมื่อใบมีอายุมากขึ้นจุดเหล่านี้จะนูนจนสังเกตเห็นได้ชัด

        ถ้าเกิดจากเชื้อ C.heveae ระยะเริ่มแรกของโรคนี้จะมีแผลเป็นจุดสีน้ำตาลขนาดเล็กค่อนข้างกลม ขอบแผลมีสีน้ำตาลเข้ม แล้วขยายออกจนกลายเป็นแผลใหญ่ขึ้น ซึ่งแผลของโรคนี้จะใหญ่กว่าโรคที่เกิดจาก C. gloeosporioides ตรงกลางแผลจะเกิดจุดสีดำของราเป็นคล้ายขนแข็ง ๆ ยื่นขึ้นมาจากผิวใบ โรคนี้มักเกิดกับต้นยางที่ปลูกในดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และการแพร่กระจายของโรค

        เชื้อนี้จะแพร่กระจายในระยะฝนชุก และเข้าทำลายส่วนยอดหรือกิ่งอ่อนที่ยังเป็น สีเขียวอยู่ ซึ่งจะเห็นเป็นรอยแตกบนเปลือก โดยแผลมีลักษณะกลมคล้ายฝาชีที่ยอดขาดแหว่งไป หรือมีรูปร่างยาวรีไปตามเปลือกก็ได้ ถ้าเป็นมากยอดนั้น ๆ จะแห้งตาย หากอากาศแห้งแล้งในระยะต่อมาจะทำให้ต้นยางเล็กแห้งตายได้

การป้องกันกำจัด

  1. เนื่องจากโรคนี้เกิดกับยางที่ไม่สมบูรณ์ การบำรุงรักษาสภาพดินให้เหมาะแก่การเจริญเติบโตของต้นยาง จึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด
  2. ป้องกันใบที่ผลิออกมาใหม่มิให้เป็นโรค โดยใช้สารเคมี ไซเน็บ หรือแคบตาโฟล ผสมสารจับใบฉีดพ่น 5 – 6 ครั้ง ในระยะที่ใบอ่อนกำลังขยายตัวจนมีขนาดโตเต็มที่
ปัญหายางตายนึ่ง
| |

ปัญหายางตายนึ่ง

ปัญหายางหน้าตายนึ่ง

เกษตรกรชาวสวนยางพารา เชื่อว่าทุกท่านต้องเคยเจอปัญหาอย่างหนึ่งคือ “ปัญหายางตายนึ่ง” ลักษณะอาการหน้ายางตายนึ่งที่เด่นชัดคือ เมื่อกรีดไปแล้ว ไม่มีน้ำยางออก ให้สังเกตบริเวณหน้ายางที่เรากรีดไป จะเห็นว่ามีน้ำยางออกน้อยมาก อาการตายนึ่งแบบถาวรจะมีอาการรุนแรงกว่าตายนึ่งชั่วคราว วิธีสังเกตคือ เปลือกจะมีการกะเทาะร่อนออกมา น้ำยางไม่ออก

 

โดย บริษัท เอ็มดี ครอป จำกัด ได้คิดค้นวิจัย และเดินหน้าพัฒนา เพื่อ “เพิ่มศักยภาพพืช” พร้อมทั้งแก้ปัญหาดังนี้

-แก้ปัญหายางหน้าตาย (ยางตายนึ่ง)
-ปัญหายางเปลือกแห้ง
-การเพิ่มผลผลิตของน้ำยาง
-การเพิ่มค่า DRC น้ำยางให้สูง
ซึ่งทางบริษัท เอ็มดี ครอป จำกัด ได้ให้ความสำคัญกับปัญหายางหน้าตาย (ยางตายนึ่ง) อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาความพร้อมอยู่ตลอด